FitEar DC CIEM VS EST CIEM คัสต้อมพี่น้องตัวท็อปจากญี่ปุ่น
FitEar DC และ FitEar EST สองพี่น้องร่วมตระกูลที่เหมือนคู่แฝด ทั้งคู่เป็นหูฟังคัสต้อมระดับท็อปของค่ายครับ ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงกันมากเลยทีเดียว แต่ทั้งคู่ก็มีขุมพลังภายในที่ต่างกันอย่างชัดเจน เดี๋ยวเราจะพาไปเปรียบเทียบ 2 พี่น้องคู่นี้ให้เห็นกันจะๆอีกทีนะครับ รับรองว่าจะทำให้เห็นความแตกต่างของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน จะตัดสินใจถอยรุ่นไหนก็ง่ายแน่นอนครับ
FitEar DC VS EST
จุดที่เหมือนกัน
- ดีไซน์บอดี้แบบ Short Leg Shell ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของไดรเวอร์ แต่ยังสามารถป้องกันเสียงรบกวนได้ดีเหมือนเดิม
- บอดี้ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
- สายเคเบิลแบบถอดได้ ใช้ขั้วแบบ 2-pin คุณภาพสูง
- สายอัพเกรด FitEar Cable รุ่น 013 ใช้หัวแจ็คขนาด 3.5 มม.
- มาพร้อม Hardcase จาก Pelican
จุดที่ต่างกัน
- FitEar DC ใช้ไดรเวอร์แบบ Hybrid ระหว่าง Electrostatic และ Dynamic
- FitEar EST ใช้ไดรเวอร์แบบ Hybrid ระหว่าง Electrostatic และ Balance Armature
ความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์
พอเปรียบเทียบกันจะๆแบบนี้เราจะเห็นได้เลยว่าข้อแตกต่างสำคัญของพี่น้องทั้งสองรุ่นนี้ได้แก่ระบบไดรเวอร์นั่นเองครับ จุดที่ยังเหมือนกันอยู่ได้แก่หัวใจของไดรเวอร์ที่เป็นระบบไฮบริดซึ่งมีไดร์เวอร์แบบ Electrostatic เป็นหัวใจหลักครับ
Electrostatic Tweeter Inside
เอกลักษณ์ของหูฟังตระกูลนี้ได้แก่ไดรเวอร์สำหรับทวีตเตอร์ที่เป็นแบบ Electrostatic นั่นเองครับ ซึ่งทาง FitEar ได้พัฒนาระบบไดรเวอร์ Electrostatic แบบ Passive ขึ้นมาทำให้ลดความวุ่นวายในเรื่องการขับสัญญาณ หูฟังทั้งสองรุ่นจึงสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกแม้จะใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนก็ตาม
แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ใช้ไดรเวอร์ Electrostatic ทั้งระบบครับ แต่นำมาใช้แค่ในส่วนของทวีตเตอร์เพื่อจัดการกับ High Frequency เท่านั้น ส่วนย่าน Mid และ Bass นั้น ในรุ่น EST จะเลือกใช้บริการของไดรเวอร์แบบ Balance Armature ส่วนรุ่น DC จะเลือกใช้บริการของไดรเวอร์แบบ Dynamic ครับ
ผลลัพธ์ก็ทำให้หูฟังทั้งคู่มีคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควรครับ ส่วนของ High Frequency สามารถตอบสนองได้ดีทั้งคู่เพราะถูกควบคุมโดยไดรเวอร์ Electrostatic ที่ให้รายละเอียดของเสียงแหลมได้ดีโดยที่ไม่รู้สึกว่าแหลมจนบาดหู ส่วนในย่าน Mid และ Bass ทั้งคู่จะต่างกันออกไปครับ อันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับความชอบของนักฟังแต่ละคนแล้วล่ะครับว่าชอบการตอบสนองสไตล์ไดรเวอร์ไดนามิคที่อิ่มหนามีน้ำหนัก หรือว่าชอบความคมชัด กระชับสไตล์ไดรเวอร์ BA ครับ
ดีไซน์แบบ Short Leg Shell
อีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของหูฟังทั้งคู่นอกจากระบบไดรเวอร์นั่นก็คือ การออกแบบบอดี้ที่มีชื่อว่า Short Leg Shell ครับ โดยเป็นดีไซน์ที่เริ่มต้นมาจากศิษย์พี่รุ่น Air
ซึ่งจะปรับส่วนของก้านท่อนำเสียงให้สั้นลงกว่าปกติ สาหตุก็เพราะว่าโดยปกติการสร้างหูฟังคัสต้อมมักจะมีการออกแบบช่องระบายอากาศภายใน หรือที่เรียกกันว่า “Vent” เพื่อช่วยควบคุมแรงดันอากาศ โดยเฉพาะหูฟังที่ใช้ระบบไดรเวอร์แบบไดนามิค แต่ปัญหาของระบบนี้จะทำให้เสียงรบกวนภายนอกสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ง่ายทำให้คุณภาพเสียงที่แท้จริงของหูฟังไม่ดีเท่าที่ควร
ทาง FiEar เลยออกแบบบอดี้ใหม่ด้วยเครื่องเครื่องปรินท์ 3 มิติ ทำให้ไม่ต้องสร้างช่องระบายอากาศบนตัวหูฟัง ผลที่ตามมาคือการตอบสนองของไดรเวอร์ที่ทำได้ดีขึ้น แต่ยังสามารถป้องกันเสียงรบกวนภายนอกได้เหมือนเดิมครับ
มาพร้อมสายอัพเกรด คุณภาพสูง
ปิดท้ายความโดดเด่นของหูฟังทั้งคู่กันด้วยสายอัพเกรดระดับท็อปที่ประสิทธิภาพสูงมากๆครับ นั่นก็คือสาย FitEar Cable รุ่น 013 ครับ โดยจะใช้ขั้วต่อเข้ากับหูฟังแบบ 2-pin ส่วนของหัวแจ็คจะเป็นขนาด 3.5mm ชุบทอง ความคุ้มค่านั้นบอกได้เลยว่าสุดๆครับ เฉพาะค่าสายสัญญาณก็ร่วมหมื่นกว่าบาทแล้วล่ะครับ ไม่ต้องไปตามหาสายอัพเกรดตัวอื่นมาใช้แล้วล่ะครับถ้าจัด DC หรือ EST ไปใช้งาน
นอกนั้นก็ยังแถมอุปกรณ์คุณภาพมาให้ครบเช่นเดิม เช่น
- ฮาร์ดเคสสุดคุ้มจาก Pelican
- กระเป๋าผ้า
- แปรงทำความสะอาด
- คลิปหนีบสายหูฟัง