iFi Audio ZEN DAC Signature VS ZEN DAC V2 ต่างกันอย่างไร
ZEN DAC เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สร้างชื่อของ iFi Audio ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้เป็นจำนวนมากครับและในปัจจุบันก็พัฒนามาจนถึงเวอร์ชั่นที่ 2 แล้ว แถม iFi ยังเพิ่มรุ่นพรีเมี่ยมอย่าง Signature เข้ามาอีก ทำให้เรามีตัวเลือกในการใช้งานมากขึ้น ถึงแม้ว่าชื่อรุ่นจะคล้ายๆกันแต่ทั้งสองก็เป็น DAC ที่มีฟังค์ชั่นการใช้งานต่างกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว เราลองมาดูข้อแตกต่างของทั้งคู่กันเลยดีกว่าครับ
แตกต่างแต่หัวใจเดียวกัน
ขอเริ่มที่จุดร่วมของทั้ง 2 รุ่นที่เหมือนกันก่อนนะครับ ซึ่งตัวของ ZEN DAC Signature และ ZEN DAC V2 ถูกออกแบบมีพื้นฐานมาจาก ZEN DAC รุ่นออริจินอลเหมือนกันแต่ทำการอัพเกรดระบบใม่หมด โดยที่ทั้งคู่ใช้ชิปประมวลผลและ DAC รุ่นเดียวกันเลยนั่นคือ
- XMOS 16-Core
- Burr-Brown True Native
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีระบบ Clock ประสิทธิภาพสูงที่ขึ้นชื่อมากของ iFi Audio ช่วยให้การถ่ายทอดสัญญาณมีความแม่นยำเที่ยงตรงมากๆครับ
ด้วยชิปเซ็ทประสิทธิภาพสูงทำให้ทั้ง ZEN DAC Signature และ ZEN DAC V2 มีความสามารถในทำงานที่ยอดเยี่ยมมากๆครับ ทางทีมวิศวกรของ iFi ยังออกแบบเฟิร์มแวร์ของ XMOS เป็นพิเศษเพื่อให้ทำงานร่วมกับชิปของ Burr-Brown ได้อย่างลงตัว ทั้งสองรุ่นสามารถถอดรหัสไฟล์ PCM ได้สูงสุดที่ 32 Bit/384kHz, DSD256 รวมไปถึง DXD และ MQA ด้วยครับ
นอกจากตัวชิปเซ็ทแล้วทั้งคู่ยังถูกออกแบบด้วยระบบ Fully Balanced แบบ dual-mono signal stage ช่วยลดเรื่องของสัญญาณรบกวนและปัญหา Crosstalk ลงไปได้ บวกด้วยการเดินสัญญาณให้สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อคงความบริสุทธิ์ของสัญญาณให้มากที่สุดครับ
Pure DAC หรือ DAC-Amp
มาถึงข้อแตกต่างสำคัญของทั้งคู่กันแล้วล่ะนะครับและเป็นจุดสำคัญที่จะชี้ว่าเราควรจะเลือกรุ่นไหนไปใช้งานครับ
เริ่มกันที่ ZEN DAC Signature ที่ออกแบบมาให้มีแค่ภาคการแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอะนาลอคเท่านั้นหรือที่เรียกว่า Pure DAC นั่นเองครับ การใช้งานต้องจับคู่กับแอมพ์ภายนอกหรือว่าจะส่งสัญญาณไปยังลำโพงแบบ Active ก็ได้ครับ
ส่วนของเอาท์พุตแน่นอนว่าเป็นระบบ Balance แบบ 4.4mm. Pentaconn แต่ก็มีเอาท์พุตแบบ Single-Ended RCA มาให้ด้วยครับ โดยที่ทาง iFi มีสวิทช์ให้เลือกระหว่าง ‘variable’ และ ‘fixed’ ซึ่งจะเป็นการเลือกว่าจะใช้ภาคปรีแอมพ์ในตัว ZEN DAC เองหรือว่าจะไปใช้ปรีแอมพ์ภายนอกก็ได้
ส่วนของ ZEN DAC V2 นอกจากส่วนของ DAC แล้วก็ยังมีภาคขยายหรือเฮดโฟนแอมพ์ให้ด้วยครับ ทำให้ V2 จะมีความสะดวกในการใช้งานมากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่ไม่อยากใช้งานอุปกรณ์หลายตัว แค่ ZEN DAC V2 ตัวเดียวก็พร้อมฟังเพลงผ่านหูฟังได้ทันที
ข้อดีอีกอย่างของ ZEN DAC V2 ยังมีโหมด Power Match ให้ใช้งานด้วย ทำให้เราใช้งานได้ทั้งหูฟัง IEM ขนาดเล็กที่มีความไวสูงไปจนถึงหูฟังฟูลไซส์ขนาดใหญ่ได้หมด แถมยังรองรับทั้งหูฟังแบบ Single-End และ Balanced ด้วยครับ
คุณภาพแตกต่างกันเยอะมั้ย?
ทั้งสองรุ่นถือว่าเป็นพี่น้องร่วมตระกูลที่มีความใกล้เคียงกันมากๆเลยก็ว่าได้ครับ นอกจากเรื่องของภาค Amplifier แล้วแต่ยังมีอีกจุดสำคัญที่แตกต่างกันนั่นก็คือ ZEN DAC Signature มีการติดตั้งอุปกรณ์ระดับพรีเมี่ยมเข้าไปในวงจร ทำให้ภาค DAC มีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับ DAC รุ่นพี่ระดับไฮเอนด์เลยทีเดียวครับ
- OS–CON ประสิทธิภาพสูงจาก Panasonic ให้ noise ที่ต่ำและยังมีความสามารถในการตอบสนองต่อย่านความถี่เสียงได้ดี
- ไอซีสัญญาณรบกวนต่ำจาก Texas Instrument ให้แบนด์วิดท์ที่ยอดเยี่ยม รวมถึงลดปัญญหา Distortion ได้เยอะมากครับ
- Potentiometer จาก Tokyo Cosmos Electric Co. (TOCOS)
- ใช้คาปาซิเตอร์คุณภาพสูงจาก muRata และ ELNA Japan Silmic II
ดีทั้งคู่ อยู่ที่การใช้งาน
ทั้ง ZEN DAC Signature และ ZEN DAC V2 ถือว่าเป็น DAC คุณภาพสูงทั้งสองรุ่นและต่างก็มีลักษณะการใช้งานที่ต่างกันชัดเจนครับ
สำหรับผู้ที่เน้นภาค DAC ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจริงๆและตั้งใจนำไปใช้งานร่วมกับซิสเต็มฟังเพลงที่มีอยู่แล้วหรืออยากสร้างชุดฟังเพลงขึ้นมาใหม่ ZEN DAC Signature จะเป็นตัวเลือกที่ดีครับ ด้วยค่าตัวหมื่นต้นๆแต่ได้ภาค DAC ที่ทัดเทียมกับอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ถือว่าคุ้มมากๆตัวนึงครับ
ส่วนถ้าใครที่เน้น DAC-Amp แบบตัวเดียวจบ ใช้งานง่ายก็ต้องมองที่ ZEN DAC V2 นี่ล่ะครับ นอกจากจะไม่ต้องต่อพ่วงอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยากแล้วคุณภาพเสียงก็จัดว่าดีเยี่ยมไม่แพ้กัน หรือถ้าอยากจะส่งสัญญาณออกไปยังแอมพ์ภายนอก ZEN DAC V2 ก็ยังทำได้เช่นกันครับ ก็ถือว่าเป็น DAC-Amp รุ่นสุดคุ้มอีกตัวนึงครับ