ทำไมถึงควรใช้ TIDAL?
หนึ่งในมิวสิคสตรีมมิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน โดดเด่นยิ่งนักในเรื่องของคุณภาพเสียง แต่ด้วยค่าบริการที่อาจจะต้องคิดหนักสำหรับคนส่วนใหญ่ บวกกับฟีเจอร์บางอย่างที่ไม่อินเทรนด์เหมือนกับสตรีมมิ่งรายอื่นๆ แล้วทำไมเราถึงควรจะหันมาลองใช้ Tidal กันอยู่อีกล่ะครับ?
จุดกำเนิด TIDAL
Tidal ถือว่าเป็นผู้ให้บริการฟังเพลงสตรีมมิ่งที่กำเนิดขึ้นจากตัวศิลปินโดยตรง ทำให้มีแนวคิดหรือลักษณะของบริการที่แตกต่างจากค่ายอื่นอยู่พอสมควร อย่างที่หลายๆท่านทราบกันว่าแร็ปเปอร์นามกระฉ่อน Jay Z เป็นผู้ริเริ่มสร้าง Tidal ขึ้นมาโดยจับมือกับศิลปินดังๆอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Kanye West ,Rihanna, หรือ Daft Punk โดยจุดประสงค์หลักของพวกเค้าก็คือการรักษาอุตสาหกรรมดนตรีให้คงอยู่ยั้งยืนยง ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินที่คอยหมุนเวียนจุนเจือศิลปินให้อยู่รอดต่อไปได้ รวมถึงการส่งผลงานคุณภาพให้ถึงหูของผู้บริโภคได้โดยตรงอีกด้วยครับ
ข้อแตกต่างกับค่ายอื่นๆ
ถ้านับกันที่จำนวนของคลังเพลง ถือว่า Tidal นั้นไม่ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นในตลาดมากนัก ดังนั้นพวกเค้าจึงมาเน้นที่คุณภาพของไฟล์เพลงและ exclusive content ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงบางอัลบั้มที่หาฟังได้จาก Tidal เท่านั้น รวมไปถึงมิวสิควีดีโอ และคอนเสิร์ตต่างๆ ก็มีเช่นกัน
ราคาก็เป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนค่ายอื่นๆ เพราะ Tidal นั้นแพงกว่าชาวบ้านเค้านั่นเอง แป่ว!!! แต่ตรงเนี๊ยะล่ะครับ ที่มันเป็นจุดสำคัญว่า ทั้งๆที่แพงกว่าคนอื่น แต่ทำไมเราถึงควรจะหันมาลองใช้ Tidal กันดูบ้าง
1. อุดหนุนศิลปิน
Cr.Ad Age
ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิง ผมคิดว่าเราควรจ่ายเงินเพื่อแลกกับการได้ฟังเพลงคุณภาพซักอัลบั้ม เพราะการที่เราอยากฟังบทเพลงดีๆแต่ก็ยังชอบฟังฟรีอยู่ร่ำไป มันมีแต่จะคอยทำลายอุตสาหกรรมดนตรีให้ย่อยยับลงทีละน้อยๆ
Tidal นั้นเคลมว่าพวกเค้าจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับศิลปินสูงที่สุด มากกว่าคู่แข่งอย่าง Spotify ซะด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นข้อดีที่ศิลปินจะได้มีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำเพลงดีๆออกมาให้เราได้ฟังกันต่อไป
ถ้าใครใช้บริการสตรีมมิ่งรายอื่นแบบฟรีมานานๆแล้วล่ะก็ แนะนำว่าเปลี่ยนไปจ่ายรายเดือนเอาเถอะครับ ค่าบริการในปัจจุบันก็ไม่ได้สูงมากแล้ว ถึงเราจะจ่ายเงินให้นายทุนเค้ารวยเอาๆ แต่เม็ดเงินมันก็ยังกระเด็นไปถึงส่วนอื่นๆในวงการเพลงด้วย เชื่อเถอะว่าในระยะยาวจะดีกับคนชอบฟังเพลงอย่างเราๆครับ
2. Exclusive Contents
ใครที่เป็นแฟนคลับ Jay Z หรือว่า Kanye West นี่คือบริการสตรีมมิ่งที่คุณควรลองเป็นอย่างยิ่ง เพราะบทเพลงพิเศษหรืออัลบั้มเฉพาะกิจบางอย่างจะมีให้ฟังที่ Tidal เท่านั้น รวมถีงคนชอบฟังเพลงแร็พ เพลงฮิพฮอพ หรืออาร์แอนด์บี คุณจะได้อัพเดทเพลงในสายนี้ก่อนแนวเพลงอื่นๆเลย (ซึ่งดูจากชื่อผู้ก่อตั้งแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ฮ่าๆ)
ขนาดศิลปินอย่าง Prince ผู้ซึ่งไม่ยอมให้บทเพลงของตัวเองไปอยู่ในบริการสตรีมมิ่งเจ้าใดๆ แต่เจ้าตัวกลับยอมปล่อยอัลบั้มพิเศษให้แฟนๆได้ฟังเฉพาะใน Tidal เฉยเลย
ยังมี exclusive playlist ที่จัดโดยทีมงานของ Tidal หรือตัวศิลปินเองให้เราได้เลือฟังอีกต่างหาก ถือว่าน่าสนใจที่เราสามารถเห็นว่าศิลปินคนโปรดของเราเค้าชื่นชอบเพลงแบบไหน หรือมีใครเป็นอิทธิพลในการทำงานเพลงกันบ้าง
นอกจากนั้นก็จะเป็นพวกวีดีโอซีรี่ย์, Podcast, รวมไปถึงคอนเสิร์ตที่หาดูจากที่อื่นไม่ได้เช่นกัน ใครสนใจก็ลองเข้ามาใช้บริการฟรีๆกันดูก่อน ว่าพวกรายการพิเศษๆเหล่านี้คุ้มค่าพอที่คุณจะจ่ายเงินหรือไม่ ถ้าใช่ก็จัดไปโลด
3. คุณภาพเสียง
ข้อนี้ล่ะเป็นจุดขายของ Tidal ที่จะทำให้หลายๆคนควรจะควักกระเป๋า โดยเฉพาะใครที่คิดว่าจริงจังกับการฟังเพลง เพราะมาตราฐานไฟล์ที่ Tidal ให้บริการสตรีมมิ่งนั้นจะอยู่ที่ระดับ CD Quality คือ 16bit / 44.1kHz ซึ่งถือว่าเป็นมาตราฐานการเริ่มต้นฟังเพลงที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะประหยัด Data อินเตอร์เน็ทจะฟังเพลงระดับ Lossy ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเคยลองเทียบคุณภาพแผ่นซีดีที่ซื้อเก็บไว้กับอัลบั้มเดียวกันที่อยู่ใน Tidal และค้นพบว่า Tidal นั้นให้เสียงที่ดีกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งที่คนเล่นแผ่นซีดีมักจะรู้กันก็คือคุณภาพของแผ่นแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าอัลบั้มนี้แผ่นประเทศนึงเปิดละเสียงดี แผ่นจากอีกประเทศดันเสียงไม่ดีซะงั้น ซึ่งไอ้ประเทศที่ว่าก็รู้ๆกันอยู่ว่ามักเป็นบ้านเราเองเนี่ยแหละ ฮ่าๆ ฉะนั้น Tidal จึงลดปัญหาว่าเราสามารถฟังเพลงในคุณภาพเดียวกันได้ทั่วโลก ไม่ต้องปวดหัววิ่งหาแผ่นปั้มนอกกันให้วุ่นวาย
รองรับ MQA : กำลังเป็นมาตราฐานใหม่ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟล์เพลงระดับ Master Quality Authenticated และได้รับการการันตีจากกูรูในวงการมานักต่อนักแล้วว่าเสียงดีกว่าไฟล์มาตราฐาน CD อยู่พอสมควร ผมว่ามันก็สะดวกสบายดีนะ ที่เราจะมีไฟล์เพลงระดับ Hi-Res ติดตัวไปฟังได้ทุกที่ขอแค่มีสมาร์ทโฟน (และสัญญาณโทรศัพท์) เพราะตอนนี้โทรศัพท์บางรุ่นอย่างเช่น LG ก็รองรับการถอดรหัสไฟล์ MQA ได้ภายในตัวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา DAC ภายนอก
ปัจจุบัน Tidal มีคลังเพลงระดับ MQA ร่วมล้านเพลงเข้าไปแล้ว แค่ลงทุน DAC ดีๆซักตัว คุณจะมีคลังเพลง Hi-Res จำนวนมหาศาลให้ฟังกันเพลินๆเลยล่ะครับ ถ้าเทียบกับการลงทุนซื้อเพลง Hi-Res เป็นอัลบั้มตามเวปไซต์ Tidal ก็ดูจะประหยัดกว่า และยังมีเพลงมาอัพเดทอย่างต่อเนื่องอีกด้วยครับ
4. รองรับ Apple CarPlay
Cr.9to5Mac
ใครใช้รถยนต์ที่ระบบเครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay คุณก็สามารถไฟล์ฟังเพลงคุณภาพสูงขณะขับรถได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องต่ออุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก แค่เสียบสาย Lightning เข้ากับชุดเครื่องเสียงแค่นี้ก็จบ
ต้องรับข้อเสียพี่เค้าได้ด้วยนะ
ถึงจะมีข้อดีด้านคุณภาพเสียงและ Exclusive Content แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ Tidal ยังแพ้คู่แข่งอยู่พอสมควร แต่โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างยอมรับข้อเสียเหล่านั้นได้ เนื่องจากมันเป็นลูกเล่นที่เมหาะสำหรับคนฟังเพลงทั่วไปที่ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องคุณภาพเสียงเท่าไหร่นัก
ยกตัวอย่างจุดแข็งที่สตรีมมิ่งค่ายอื่นๆมีแต่ Tidal กลับไม่มีก็อย่างเช่น หน้าตาอินเตอร์เฟสการใช้งานที่ดูทันสมัย, การอัพเดทเพลงหรือจัดเพลย์ลิสท์เจ๋งๆ แนวๆ, ระบบอัลกอลิธึ่มแนะนำเพลงใหม่ๆ เพลงแปลกๆที่คุณไม่เคยฟัง หรือถ้าคุณชอบฟังเพลงไทยเป็นหลักก็โบกมือบ๊ายบาย Tidal เค้าไปได้เลย
แต่คุณก็ควรใช้ TIDAL อยู่ดี
ลืมบอกว่านี่ผมไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆจากทาง Tidal เค้าทั้งนั้นนะครับ ทุกวันนี้ก็ยังเสียตังค์ฟังเหมือนคนอื่นๆเนี่ยแหละ ฮ่าๆ แค่อยากจะแนะนำสำหรับคนที่คิดว่าจะซีเรียสกับการฟังเพลงมากขึ้น เราควรเน้นที่คุณภาพของไฟล์เพลง มากกว่าลูกเล่นอื่นๆที่บางครั้งเราก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันซักเท่าไหร่
สำหรับค่าบริการที่ใครอาจจะคิดว่าแพง แต่ส่วนตัวผมคิดว่ามันเมกเซนส์ดีแล้ว เปรียบเทียบจากการเฉลี่ยจำนวนแผ่นซีดีที่ผมซื้อต่อเดือนในสมัยก่อน พอเปลี่ยนมาใช้ Tidal แล้วก็เรียกว่าคุ้มกว่าเยอะ ยิ่งใครที่สะสมแผ่นซีดีซื้อกันเป็นประจำทุกเดือน Tidal ก็เป็นตัวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร
ใครที่ใช้บริการสตรีมมิ่งเจ้าอื่นๆอยู่ก็สามารถมาลองทดสอบใช้งาน Tidal เค้าได้ฟรีๆก่อน 30 วันเลยนะครับ แต่หมดจากนั้นแล้วก็ฟังฟรีแบบเจ้าอื่นเค้าไม่ได้นะ ฮ่าๆ ลองมาเทสดูจะได้รู้ว่าคุณภาพเพลงที่ได้มามันคุ้มค่ากับเงินที่คุณต้องเสียหรือไม่
สำหรับระบบสตรีมมิ่งระดับ Hi-Res ในไทยตอนนี้ผมขอยกให้ Tidal มาอันดับหนึ่ง แต่ในอนาคตถ้ามีคู่แข่งรายอื่นๆเข้ามาทำตลาดในบ้านเราบ้างก็ไม่แน่ว่า Tidal จะยังคงครองใจผมอยู่อีกหรือไม่นะครับ