เปิดตัว Dyson Zone หูฟังพร้อมเครื่องฟอกอากาศ พร้อมขายต้นปี 2023

Dyson ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับหูฟังฟอกอากาศ Dyson Zone ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสียงตัวแรกของบริษัท ซึ่งปรากฎในหน้าเว็บใหม่สำหรับหูฟังที่ยังไม่เปิดตัว โดยมีการระบุข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นทางการ ควบคู่ไปกับวันวางจำหน่ายในเดือนมีนาคมสำหรับตลาดสหรัฐฯ ในราคา 949 ดอลลาร์

Dyson Zone รองรับ Bluetooth 5.0 และมีแจ็คเสียง 3.5 มม. และพอร์ต USB-C สำหรับการชาร์จ
แบตเตอรี่ใช้ได้นานถึง 50 ชั่วโมงสำหรับการใช้งานเฉพาะเสียง แต่จะลดลงเหลือสูงสุด 4 ชั่วโมงสำหรับการฟอกอากาศ และใช้งานเสียง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่ารวมถึงการเปิดใช้งาน ANC หรือไม่

หูฟังมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 2,600mAh โดยสามารถชาร์จอุปกรณ์ให้เต็มได้ภายใน 3 ชั่วโมง
ติดตั้งไมโครโฟน 11 ตัว โดยแปดตัวถูกใช้งานโดยระบบตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (ANC) สามารถตรวจสอบเสียงรอบข้างได้ 384,000 ครั้งต่อวินาที ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้มากถึง 38dB ไมโครโฟนที่เหลืออีกสองตัวเป็นแบบบีมฟอร์มเพื่อลดเสียงรบกวนจากระบบกรองอากาศ ในขณะที่ไมโครโฟนตัวเดียวใช้เพื่อตรวจจับเสียงสนทนาสำหรับการโทร

เกี่ยวกับการกรองอากาศ มีการทำงานร่วมกันของตัวกรองไฟฟ้าสถิตภายใน สามารถดักจับมลพิษของอนุภาคได้มากถึง 99 เปอร์เซ็นต์ (ขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอน) และตัวกรองคาร์บอนมีเป้าหมายที่ก๊าซที่เกี่ยวข้องกับมลพิษในเมือง เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ ตัวกรองเหล่านี้มีอายุการใช้งาน 12 เดือนและไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ Dyson ไม่ได้กล่าวอ้างว่า Dyson Zone สามารถใช้ป้องกันโควิดได้

น้ำหนักอยู่ที่ 595 กรัม (ประมาณ 21 ออนซ์) โดยไม่ได้ติดที่บังหน้า หรือ 670 กรัม (ประมาณ 23 ออนซ์) เมื่อประกอบเสร็จ

ระบบกรองอากาศจะทำหน้าที่เหมือนกระบังหน้าโดยไม่ได้ผนึกแน่นรอบใบหน้า และสามารถถอดออกจากหูฟังได้โดยใช้แม่เหล็กหลายชุด เซ็นเซอร์ออนบอร์ดจะตรวจสอบคุณภาพอากาศและระดับเสียงรบกวนในสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ โดยแสดงผลลัพธ์ผ่านแอป MyDyson

หูฟัง Dyson Zone มีให้เลือก 3 สีด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนผสมของสีน้ำเงินและเมทัลลิก สำหรับราคานั้นอยู่ที่ 949 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์อย่าง Sony WH-1000XM5 (400 ดอลลาร์) หรือ Apple AirPods Max (550 ดอลลาร์)
จะวางจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมกราคม 2023 ในจีน ตามมาด้วยการเปิดตัวในเดือนมีนาคมสำหรับสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฮ่องกง และสิงคโปร์

ที่มา : www.theverge.com