รีวิว Bowers & Wilkins Pi7 S2 ~ The Best is Back
ต่อยอดมาจากหูฟัง True Wireless ตัวท็อปของวงการ ที่เซ็ตบรรทัดฐานสูงสุดให้กับกงการไปแล้ว นี่เค้ายังเหลืออะไรให้พัฒนาไปต่อได้อีก? เพิ่มเบส? เพิ่มเสียงแหลม? ใส่ฟีเจอร์ Spatial 3D จุกๆ? มันก็มีหลายทางที่ Bowers & Wilkins เพิ่มได้ แต่สิ่งที่ทีมวิศวกร B&W เลือกใส่มาใน Pi7 S2 นั้นอาจจะดูเล็กแต่ส่งผลกับการฟังเพลงเน้นๆ ครับ
B&W Pi7 S2 True Wireless
PROS จุดเด่น | CONS จุดด้อย |
เคสรุ่นใหม่เชื่อมตรงเข้า iPhone ได้ง่ายมาก | ราคาค่อนข้างสูง |
รายละเอียดดีกว่าเดิม ไม่ต้องเพิ่มความดัง | ยังไม่รองรับ LDAC |
ปุ่ม Touch Control ทำงานได้เร็วกว่าเดิม |
Similar yet Different
หูฟัง True Wireless รุ่นนี้คือรุ่นพัฒนาต่อยอดมาจาก Pi7 รุ่นแรกและการใช้รหัส S2 ก็เพื่อบ่งบอกว่ามันคือรุ่นที่มีอัตลักษณ์-รูปลักษณ์ของการออกแบบที่ยังเหมือนรุ่นแรก แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปนอกจากสีสันที่เปลี่ยนไปนี่คือ 3 สิ่งที่ Bowers & Wilkins ปรับแต่งเสริมเข้าไปใน Pi7 S2 ให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม
สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Bowers & Wilkins Pi7 คลิกอ่านบทความ รีวิว B&W PI7 หูฟังไร้สายรุ่นนี้ Bowers & Wilkins ทำมาให้ท็อป INSANELY GOOD ก่อนได้เลยครับ
#1 Pi7 S2 – The Upgraded ProCase
ถ้าถามทุกคนที่เคยใช้ Pi7 รุ่นแรกว่าอะไรคือ ฟีเจอร์ที่เด็ดสุดของ Pi7 ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเป็นเดียวกันว่า Pi7 ProCase ครับ มันเป็นเคสที่ไม่ธรรมดา เพราะภายใน ProCase นี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นพาวเวอร์แบงค์แล้ว มันมีเป็น DAC คุณภาพสูงมาก และ มี Bluetooth Transmitter อีกด้วย (*) พิเศษขึ้นไปอีกขั้นเจ้ากล่องนี้มันส่งข้อมูลแบบ aptX Adaptive ซึ่งให้รายละเอียดเสียงสูงสุดถึง 24-bit / 96 kHz (**) ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ต้องดีที่สุดในตลาดไปเลย
แต่สิ่งที่ทำให้ ProCase รุ่นแรกนั้นยังไปไม่ถึงดวงดาว คือ มันไม่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ได้โดยตรงครับ มันสามารถทำงานร่วมกับ iPad และ Computer ได้โดยตรงแต่ไม่ใช่กับ iPhone ครับ
แต่ปัญหานี้ ProCase รุ่น S2 ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยครับ
ProCase ของ Pi7 S2 สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone โดยตรงด้วยสาย USB-C to Lightning อย่างเช่น สาย ddHiFi MFI06s , Hakugei OTG Type-C to Lightning หรือ Adapter Zorloo Lightning to USB-C จากที่ได้ทดลองแล้วมันทำงานได้ดีและเสถียรมากครับ อาจจะมีบางจังหวะที่ทำงานไม่เข้าที่ แต่ก็แก้ได้ง่ายๆ โดยปิดเปิด Pi7 S2 มันก็จะกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
สำหรับการใช้งานแบบนี้ แบตของ iPhone อาจจะลดเร็วกว่าปกตินิดหน่อย อยู่ที่ไม่กี่ % ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการต่อ DAC เข้ากับ iPhone ครับ ไม่ต่างจากการต่อ DAC-Amp หางหนูที่จะกินไฟจากเครื่องมือถือของเรานิดหน่อยเป็นเรื่องปกติครับ
พอเจ้า ProCase ของ Pi7 S2 ทำแบบนี้ได้ ส่วนตัวผมรู้สึกว่านี่เป็นการเปิดประการณ์ฟังเพลง Hi-Res แบบพกพาที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิมมาก อยากจะฟังเพลง Hi-Res Lossless ที่ไหนก็ทำได้ง่ายๆ ไม่วุ่นวายเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ
* Bluetooth Transmitter ของ ProCase จะเชื่อมต่อโดยตรงไปยังหูฟัง Pi7 และหูฟังไร้สายของ Bowers & Wilkins รุ่นอื่นเท่านั้นนะครับ ไม่สามารถใช้เชื่อมต่อกับหูฟัง Bluetooth แบรนด์อื่นได้ครับ
** เป็นการส่งข้อมูลเสียง Hi-Res ในรูปแบบ aptX Adaptive encoded
#2 Pi7 S2 – Deeper Audio Details
โทนเสียงของ Pi7 S2 นั้นคงเป็นแนวเสียงเดียวกันกับรุ่นแรก คือ ให้รายละเอียดชัดฟังง่าย ไม่มีเสียงแหลมแบบเสียดแทงหู เสียงกลางมาครบเต็มที่ และเบสคือดีมากๆ ที่ให้รายละเอียดย่านเสียงต่ำได้แทบจะดีที่สุดในกลุ่ม True Wireless การตอบสนองของเสียงรวดเร็ว ฟังเพลงได้ตั้งแต่เพลง Rock โหดๆ ไปจนถึง Jazz หรือ Classical นุ่มๆ ที่มันทำได้แบบนี้เพราะมันมี driver 2 ตัว (แหลม และ เบส อย่างละตัว) และ มาพร้อมกับ amplifier 2 ชุดที่ทำงานแยกกันอิสระ ทำให้เสียงที่ได้ออกมาครบ มีลูกเล่นและชั้นเชิงที่ไม่ธรรมดา
ส่ิงที่เพิ่มขึ้นแตกต่างจากรุ่นแรก คือ การพัฒนาชุดไดรเวอร์และแอมพ์ใหม่ ทำให้สามารถแสดงรายละเอียดเสียงเล็กน้อยที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนให้ได้ยินง่ายๆ เจ้า S2 สามารถเก็บและแสดงออกมาชัดและมีชั้นเชิงมากขึ้นกว่าเดิม เป็นความว้าวเบาๆ แต่ยิ่งใหญ่นะครับ เพราะมันทำให้การฟังเพลงเดิมๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากฟังแล้วถ้าเปลี่ยนไปใช้หูฟังรุ่นอื่นก็จะมีบ้างที่ถามตัวเองว่า “ไอ้เสียงนั้นที่เคยได้ยินมันหายไปไหน”
#3 Pi7 S2 – Faster Touch Control
การทำให้ Touch Control ตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น ถึงจะเป็นอะไรที่เล็กน้อยไม่สามารถใส่ลงไปใน Spec Sheet ได้ แต่มันมีผลกระทบกับประสบการณ์ใช้งานมากครับ
ความไวในการตอบสนองของ Touch Control ในรุ่น S2 ถือว่าทำมาได้ดีมาก แตะแล้วตอบสนองแทบจะทันที ลดความเครียดของผู้ใช้ลงได้อย่างเห็นผลทีเดียว ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าแตะแล้วทำไมไม่ทำงาน
Conclusion
สิ่งที่ถูกพัฒนา 3 อย่างนี้ อาจจะดูเล็กน้อยไม่มีฟีเจอร์อลังการหรือตัวเลขสเป็คเจ๋งๆ ให้ขิงกันมากมาย แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการฟังเพลงให้ได้ดีที่สุด ผมว่า Pi7 S2 ยังคงเป็นตัวเลือกตัวแรกๆ ในตลาดของปี 2023 ครับ มันมาครบทั้งดีไซน์หรูหราแบบ minimalist ที่ลงตัว มีความว้าวแบบเบาๆ ที่ลงลึกและกินใจ มันมาพร้อมกับการใช้งานที่ง่ายกว่าเดิม ตอบสนองเร็วกว่าเดิม และ ProCase ที่ถูกแก้ไขตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ในรุ่นก่อน ส่วนเรื่องรายละเอียดเสียงที่ถูกปรับดึงให้ออกมาดีขึ้นผมว่าเป็นอะไรที่ว้าวมาก ยิ่งได้ใช้ในระยะยาวจะยิ่งชอบมันมากขึ้น และดูจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทีมวิศวกรไม่ไปปรับโทนเสียงให้แตกต่างไปจากเดิมเพราะของเดิมก็ดีมากแล้วครับ
ควรอัพเกรดจาก Pi7 มาเป็น Pi7 S2 หรือเปล่า?
ถ้าคุณมี Pi7 อยู่แล้วและยังใช้งานได้ดี และถ้ายังสามารถอดใจรอรุ่นหน้าในอนาคตได้ละก็ รอไปก่อนก็ได้ครับ
แต่ถ้าการใช้ ProCase ต่อเข้ากับ iPhone เพื่อฟังเพลง Hi-Res แบบไร้สายง่ายๆ ได้ยินเสียงรายละเอียดสูงผ่าน aptX Adaptive แบบเต็มรูปแบบ การอัพเกรดมา Pi7 S2 ก็เป็นทางเลือกที่ดูจะตอบโจทย์มากกว่าตัวเก่าครับ
Pi7 S2 กับราคา 19,900 มันคุ้มมั้ย?
ถ้าคุณมีเงินเหลือ และ อยากได้หูฟัง True Wireless ที่ดีที่สุดในตลาด ผมว่าแนะนำรุ่นนี้ได้ไม่ยากครับ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะชอบโทนที่จืดๆของแบรนด์อื่นซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่โทนเสียงของ B&W ก็ดีมากๆ เช่นกันครับ
ที่สำคัญมันมาพร้อมกับประกันศูนย์ 2 ปี ใช้งานกันยาวๆ มีปัญหาส่งเคลมสบายใจครับ
สาย USB-C to Lightning ที่จะใช้กับ Pi7 S2 ต้องเป็นแบบไหน?
การเลือกสายที่ใช้กับ Pi7 S2 จะต้องเป็นสายที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้กับ DAC หางหนูครับ เช่น สาย ddHiFi MFI06s , Hakugei OTG Type-C to Lightning หรือ Adapter Zorloo Lightning to USB-C ก็ได้ครับ ไม่ต้องไปหาสายโมหรือสายช่างทำมืออีกแล้ว
ปล. ถ้านำสาย USB-C to Lightning ทั่วไปมาเสียบ ตัว iPhone จะหา ProCase ไม่เจอนะครับ
ต้องเปลี่ยนจุก ของ Pi7 S2 มั้ย?
จุกที่แถมมากับ Pi7 S2 จะมีด้วยกัน 3 ขนาด S M L เป็นจุกคล้ายซิลิโคนอ่อน ขนาด M จะเล็กกว่าขนาด M ของจุกทั่วไป ถ้าต้องให้เสียงใสขึ้น หรือ เบสแรงขึ้น ก็เลือกจุกอัพเกรดแบบอื่นได้นะครับ
สำหรับเจ้า Pi7 S2 ไม่จำเป็นต้องใช้จุกพิเศษสำหรับ True Wireless สามารถใช้จุดหูฟัง In-Ear ทั่วไปได้เลยครับ ใส่แล้วปิดกล่องได้ไม่ติดปัญหา