รีวิว FitEar H1 CIEM รุ่นใหม่ที่พัฒนาร่วมกับ ONKYO

หลังจากต้นปีที่ผมมีโอกาสทดลองฟัง FitEar Silver ไปได้ไม่นาน มาถึงช่วงใกล้สิ้นปี FitEar ก็คลอดหูฟังรุ่นใหม่อย่าง H1 มาให้ลองอีกรอบแล้ว โดย FitEar H1 เป็นรุ่นที่ถอด DNA จาก Silver มาต่อยอดให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในราคาที่จับต้องได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากที่ได้ลองก็ยอมรับเลยว่า H1 มีคาแรคเตอร์ที่ใกล้เคียงกับ Silver มากจริงๆครับ

FitEar H1 Custom In-Ear Monitor

PROS จุดเด่น	CONS จุดด้อย
น้ำหนักเบา ใส่สบาย	มีสีให้เลือกน้อย ออกแบบลวดลายเองไม่ได้
ซาวด์สเตจกว้างขวาง มิติเสียงที่ดีเยี่ยม	ปริมาณและมวลของเบสไม่เยอะมาก
รายละเอียดของเสียงกลางและแหลมมาเต็ม

Packaging and Accessories

เนื่องจากตัวเดโม่ที่ผมได้รับมาในคราวนี้มีแต่ตัวหูฟังเพียวๆ เลยไม่ได้มีรูปอุปกรณ์ต่างๆในชุดของ H1 มาฝากนะครับ แต่ว่าตามสเปคจากเวปไซต์ของ FitEar แล้วรุ่น H1 เองก็ยังได้อุปกรณ์มาตราฐานมาครบเช่นเดียวกับหูฟังคัสตอมรุ่นอื่นๆประกอบไปด้วย

• ฮาร์ดเคสอย่างดีจาก Pelican
• ซองตาข่ายสำหรับใส่หูฟัง
• แปรงทำความสะอาด
• คลิปหนีบเสื้อสำหรับเก็บสายหูฟังให้เรียบร้อย

ด้วยความที่เป็นรุ่นคัสตอมจึงไม่มีพวกจุกยางหูฟังมาให้เหมือนกับรุ่น Silver ครับ แต่โดยปกติการใช้หูฟังคัสตอมของเราเองก็ไม่ได้ใช้จุกหูฟังกันอยู่แล้ว (ยกเว้นในรูปที่เป็นตัวเดโม่จึงต้องใช้จุกยางครับ)

ส่วนของสายสัญญาณที่ให้มาจะเป็นรุ่น FitEar cable 005 มีความยาวสาย 1,250mm และใช้หัวแจ็คแบบ 3.5mm. พร้อมขั้วต่อ 2-pin แบบของ FitEar ครับ

Build and Comfort

ตัวเดโม่ที่ผมได้ทดลองจะหล่อแบบหูฟังมาให้เป็นทรง Universal ซึ่งคุณภาพชิ้นงานต่างๆก็เรียบร้อยตามมาตราฐาน FitEar อย่างที่คุ้นเคยครับ ตัวเดโม่ของ H1 นี่เรียกว่าเหมือนกับรุ่น Silver ที่ผมได้ลองแทบทุกประการ จะต่างก็คงแค่เรื่องของวัสดุเท่านั้นเอง

ข้อเสียอย่างนึงของ H1 ในเรื่องงานสร้างคงจะเป็นสีสันที่มี Shell ให้เลือกระหว่างสีขาวและสีดำเท่านั้น ส่วน face plate มีให้เลือก 6 สีด้วยกันได้แก่ สีส้ม, แดง, น้ำเงิน, เหลือง, ขาว และ ดำ แต่โดยรวมก็ถือว่ามีลูกเล่นด้านงานออกแบบให้เลือกน้อยไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นแนวทางของ FitEar เค้าด้วยครับ ถ้าใครชอบหูฟัง CIEM แบบแฟนซีๆหน่อยน่าจะไม่ใช่ทางซักเท่าไหร่

ว่ากันด้วยเรื่องของการสวมใส่คงจะบอกได้ยากเพราะว่า H1 เป็นรุ่นคัสตอม เพราะฉะนั้นความรู้สึกเวลาใส่คงไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งานอยู่แล้ว แต่มีรายละเอียดเล็กน้อยในด้านการออกแบบก็คือคอนเซปต์การออกแบบบอดี้ที่เรียกว่า “middle leg shell” ที่ถูกพัฒนามาเรื่อยตั้งแต่สมัยรุ่น Air ซึ่งเป็นงานออกแบบที่ FitEar บอกว่ามันได้ทั้งความสามารถในการซีลเสียง คือป้องกันเสียงรบกวนได้ดีและยังใส่สบายอีกด้วย

Headphone Details

ต่อกันเรื่องสเปคของหูฟังอีกนิดหน่อยครับ เพราะว่าไฮไลท์สำคัญของ FitEar H1 ก็คือการได้ค่าย Hi-Fi ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ ONKYO มาร่วมพัฒนาหูฟังด้วย ซึ่งพาร์ทของ ONKYO จะเป็นการออกแบบไดรเวอร์ Balanced Armature ที่ใช้แมกนีเซียมเป็นวัสดุในการสร้างไดอะแฟรม แต่ก็ยังมีชั้นเซรามิคซ้อนทับเข้าไปด้วย

ผลลัพธ์ของการออกแบบนี้ทำให้ได้ไดอะแฟรมที่แข็งแรงแต่ก็มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถตอบสนองต่อสัญญาณและขยับตัวได้ดี ตามสเปคที่ FitEar บอกคือสามารถให้ซาวด์ที่สมูธ ลื่นไหล เป็นธรรมชาติ

แต่แค่นี้ยังไม่พอทาง FitEar ยังเสริมไดรเวอร์ทวีตเตอร์เข้าไปอีกตัว เป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในรุ่นพี่อย่าง Silver ซึ่งเป็นความต้องการของทีมออกแบบที่ต้องการขยายความสามารถในการตอบสนองเสียงแหลม และยังช่วยให้หูฟังมีซาวด์สเตจที่ดีขึ้นด้วย

Sound Quality

Sound Stage

จากสเปคที่ทาง FitEar อธิบายไว้ในเวปไซต์ขอบอกว่าผมไม่เถียงเลยครับในเรื่องของซาวด์สเตจ ลักษณะเวทีเสียงของ H1 ออกไปทางโปร่งๆ ฟังสบายไม่อึดอัด การวางตำแหน่งเสียงต่างๆลงตัวครับ ช่องไฟไม่ได้โล่งจนรู้สึกว่าขาดความแน่นของเสียงไป เวทีเสียงแบบนี้ทำให้ได้ยินรายละเอียดทุกอย่างได้ง่ายมาก ใครชอบซาวด์สเตจที่กว้างให้มิติด้านลึกดีด้วย ข้อนี้ของ H1 สอบผ่านสบายครับ

Bass

ฟังผ่านๆตอนแรกรู้สึกเหมือนเสียงจะบาง เบสจะน้อยไปหน่อย แต่พอจัดหูฟังให้เข้าที่และเริ่มคุ้นชินกับซาวด์ของ H1 แล้ว บอกเลยว่าเบสของเค้าอาจจะไม่บึ้มบั้ม แต่ก็ไม่บางจนโหวงเหวง คาแรคเตอร์เบสของ H1 จะออกสไตล์หูฟังมอนิเตอร์จ๋าเลยครับ เน้นความชัดเจนมากกว่าปริมาณหรือมวล แรงปะทะ น้ำหนักของเบสอยู่ระดับกลางๆ แต่ความชัดเจนนี่ให้เต็ม ถ้าผมเป็นมือเบสและต้องแกะเพลงด้วย H1 ขอบอกว่าหวานหมูครับ

Mid

ความชัดเจนของย่านเสียงกลางนี่หายห่วงครับ เก็บทุกเม็ดจริงๆ ย่านกลางอาจจะไม่หนาหรือวอร์มมากนัก แต่ก็ถือว่าน้ำหนักกำลังดีครับ ไม่ได้รู้สึกว่าบางจนไม่แน่น พวกเสียงร้องยังรู้สึกว่ามีน้ำหนักที่น่าฟังอยู่ รวมถึงเสียงกีตาร์ดิสทอร์ชั่นในเพลงร็อคก็ยังได้ความหนาตามคาแรคเตอร์ของเพลง ส่วนเรื่องรายละเอียดนี่ชนะเลิศครับ

High

อีกหนึ่งไฮไลท์ของ H1 ก็คือเสียงแหลมนี่ล่ะครับ สว่าง ใส คมชัดสมกับที่มีทวีตเตอร์เสริมเข้ามาอีกหนึ่งดอก โทนของเสียงแหลมก็ยังอยู่ในเกณฑ์น่าฟัง ไม่ได้รู้สึกรุกเร้าจนเกินไป การเก็บรายละเอียดของพวกชุดทองเหลืองของกลองชุดนี่มันช่างชัดเจนเอามากๆ รวมถึงการฟังดนตรีที่ใช้เครื่องอะคูสติคเป็นหลัก เจอเสียงกลางและแหลมของ H1 เข้าไปนี่บอกเลยว่าฟิน

---

Conclusion

ถ้านับเฉพาะแค่ความทรงจำ ไม่ได้ลองเทียบกันแบบ A/B Test ส่วนตัวผมชอบโทนเสียงจาก FitEar H1 มากกว่ารุ่นพี่อย่าง Silver ที่ค่าตัวแพงกว่าซะอีก ถามว่า H1 เหมาะกับใครบ้าง ผมว่านักดนตรีที่ต้องการหูฟังมอนิเตอร์น่าจะมาเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองก็คือนักฟังทั้งหลายที่ชอบคาแรคเตอร์เสียงสไตล์หูฟังมอนิเตอร์ คือไม่ปรุงแต่งมากนัก เน้นความชัดเจนในทุกย่านความถี่ ไม่เพิ่ม Low End หรือ Mid-Low ให้แน่นจนเกินไป

เท่าที่ลองฟังผมคิดว่า H1 เหมาะกับดนตรีทุกสไตล์นะครับ ต่อให้เจอร็อค เจอเมทัลก็ยังไหว แต่ถ้าไปเจอกับพวกดนตรีที่เน้นเครื่องอะคูสติคล่ะก็กรี๊ดเลย ความพริ้วไหวและมิติที่ได้มันช่างสมพงษ์กับดนตรีแบบนี้มากๆ สรุปเลยว่า H1 เป็นหูฟัง CIEM รุ่นใหม่ที่น่าสนใจมากๆรุ่นนึงของ FitEar เลยทีเดียว ใครอ่านจบแล้วรู้สึกเข้าทาง อยากเชิญชวนให้มาสัมผัสตัวเป็นๆกันให้ได้นะครับ