รีวิว TOPPING DX7 Pro Plus DAC-Amp รุ่นใหม่ สวย รอบจัด
หลังจากที่ได้เทส DAC รุ่นเรือธงอย่าง D90SE ไปแล้วคราวนี้ก็มาถึงตัวท็อปในฝั่ง DAC-Amp กันบ้างครับ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก TOPPING DX7 PRO Plus สปอยล์ไว้ให้ก่อนเลยก็ได้ว่าประทับใจไม่แพ้พี่ใหญ่ที่เป็นเพียว DAC แต่ถ้าชอบความสะดวก ใช้งานง่ายแบบตัวเดียวจบและที่สำคัญคือเสียงดีมากก็ต้อง DX7 PRO Plus นี่ล่ะครับ
TOPPING DX7 PRO Plus Flagship DAC-Amp
PROS จุดเด่น | CONS จุดด้อย |
รวมร่างของ DAC และ Amp คุณภาพเยี่ยมในเครื่องเดียว | ใช้งานไม่สะดวกถ้าขาดรีโมท |
สลับโหมดอินพุตและเอาท์พุตได้อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุด | ไม่รองรับ MQA |
รองรับการใช้งานเป็น Pre-Amp ด้วยทำให้การใช้งานกว้างมาก | |
มีโหมดเสียง Valve และ Transistor ให้เลือกใช้งาน |
Design & Build Quality
ส่วนตัวผมไม่มีข้อกังขาในเรื่องความสวยงามหรือการออกแบบเลย์เอาท์ปุ่มต่างๆแต่อย่างใด งานนี้ถือว่า TOPPING ปั้นแต่งหน้าตาของ DX7 PRO+ มาได้ลงตัว ขนาดของตัวเครื่องมือว่าไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ครับ ตามสเปคตัวเครื่องจะมีความกว้าง 22.2cm ความลึก 18cm. และสูงเพียง 4.4cm. เท่านั้น กะทัดรัดพอจะอยู่บนโต๊ะทำงานได้เหลือๆ หรือจะเป็นหนึ่งใน DAC ประจำซิสเต็มที่บ้านก็ไม่ได้เล็กจนน่าเกลียดครับ
วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมขึ้นรูปด้วยระบบ CNC เรื่องความเนี๊ยบของชิ้นงานก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม อุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย แน่นหนา ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
Front
ไล่จากฝั่งซ้ายจะเป็นตำแหน่งของเอาท์พุตสำหรับหูฟังครับ ประกอบด้วย XLR 4-Pin / 4.4mm. และ 6.35mm. ครบถ้วนทั้งระบบ Balanced และ Single-Ended
หน้าจอ LED ก็ถือว่าใหญ่และชัดเจนไม่แพ้ D90SE ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็กกว่านิดหน่อยก็ตาม ส่วนอุปกรณ์ด้านหน้าชิ้นสุดท้ายก็คือปุ่ม Volume ซึ่งสามารถกดได้เพื่อเปิด-ปิดเครื่อง รวมถึงเปลี่ยนอินพุตต่างๆด้วย ตัวสวิทช์แน่นหนาและให้สัมผัสในการใช้งานที่ดีเยี่ยมครับ รับรองความเฟิร์มของปุ่มว่าแน่นๆเลย
Back
เริ่มจากทางซ้ายเช่นกัน ซึ่งจะเป็น Line Output แบบ XLR และ RCA ครับ แน่นอนว่าเราสามารถส่งสัญญาณไปยังแอมป์หรือลำโพงได้ทันที นี่เป็นจุดเด่นที่ทำให้ DX7 PRO+ ครบเครื่องเอามากๆ
ถัดไปจะเป็นศูนย์รวมอินพุตที่ให้มาแบบไม่มีกั๊กเลยประกอบด้วย USB, HDMI I2S, Optical, Coaxial, AES แถม Bluetooth เข้ามาให้ด้วย
ยังมีลูกเล่นพิเศษอีกอย่างก็คือ 12V Trigger ทำให้เราเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นผ่านสาย 3.5mm. เพื่อให้อุปกรณ์ทั้งสอง sync กันและสั่งการเปิดปิดได้จาก DX7 Pro Plus เครื่องเดียวได้เลยครับ
ส่วนสุดท้ายก็จะเป็นช่องสำหรับต่อสายเพาเวอร์รวมถึง Main Power Switch ครับ
Features
- Technology
หัวใจสำคัญของ DX7 PRO+ เป็นสเปคเดียวกับเรือธงอย่าง D90SE เลยครับนั่นก็คือ ES9038 Pro DAC ระดับ 8 Channel ตัวท็อปของ ESS พร้อม XMOS XU208 สามารถรองรับรายละเอียดได้สูงถึง 32Bit / 768kHz และรองรับ DSD512 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่รองรับ MQA ไปซะนี่ ไม่อย่างงั้น DX7 PRO+ จะครบเครื่องเอามากๆ
ยังมีภาค I/V conversion stage มาให้ด้วยนะครับ ถือว่าแจ่มเลยทีเดียวที่ไม่กั๊กในส่วนนี้ เพราะส่งผลต่อการประมวลผลได้จนถึงบิทสุดท้ายของข้อมูล
ทางด้านสเปคถ้าจะให้เทียบกับโมเดลก่อนหน้าอย่าง DX7 PRO รุ่นเดิมถือว่าทำได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดครับ ถ้าดูจากตารางเปรียบเทียบที่ TOPPING ทำไว้ให้ดูจะพบว่าพวกสัญญาณรบกวนหรือ Noise ในระบบลดลงไปเยอะมาก ซึ่งมันก็ส่งผลต่อคุณภาพเสียงของ DX7 PRO+ มากจริงๆจากการทดลองฟังเสียงครับ
- Amplifier Stage
สำหรับการใช้งานร่วมกับหูฟัง DX7 PRO+ จะใช้วงจรแบบ NFCA ซึ่งใช้งานบนเฮดโฟนแอมป์ตัวท็อปอย่าง A90 เช่นกัน มีจุดเด่นในเรื่องกำลังขับที่สูงแต่มีสัญญาณรบกวนต่ำ ตามสเปคสามารถให้กำลังขับสูงถึง 1900mW ที่โหลด 32ohm และ 320mW ที่โหลด 300ohm ถือว่าสูงเอาการสำหรับอุปกรณ์แบบ All in one เช่นนี้
เราสามารถตั้งค่า Gain ได้อีก 2 ระดับคือ Low กับ High นะครับ ทำให้แมทช์กับหูฟังขนาดเล็กอย่างพวกอินเอียร์มอนิเตอร์ได้สบายๆ
ถ้าไม่ใช้งานกับหูฟังจะต่อสัญญาณไปยังเพาเวอร์แอมป์หรือลำโพงแบบแอคทีฟเลยก็ได้ ซึ่ง DX7 PRO+ พร้อมทำงานเป็นปรีแอมป์ให้เราได้ทันที คุณสามารถสลับการทำงานระหว่าง Headphone และ Line Output ได้ทันทีแบบไม่มีสะดุด ซึ่งโวลลุ่มคอนโทรลของทั้งสองโหมดนี้จะแยกกัน ไม่ต้องกังวลเรื่องความดังของเสียงครับ
- Sound Mode & Digital Filters
ไฮไลท์อีกอย่างเลยของ DX7 PRO+ นั่นก็คือ Sound Mode ที่จะมีให้เลือก 3 แบบด้วยกัน แบบแรกคือ OFF หรือก็คือคาแรคเตอร์เสียงออริจินอลของตัวเครื่องนั่นเอง แบบที่สองคือ Valve จำลองคาแรคเตอร์แอมป์หลอด ถ้าชอบความนุ่ม ความสมูธก็ต้องโหมดนี้เลย ส่วนแบบสุดท้ายก็คือ Transistor รักแบบไหนชอบแบบไหนก็เลือกกันได้ตามใจชอบครับ
ส่วนของ Digital Filters ก็มีของ PCM ถึง 7 โหมดและ DSD อีก 4 โหมดครับ
- Bluetooth
ครบเครื่องร้อยเปอร์เซ็นเมื่อ TOPPING ให้การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth มาด้วย โดยจะใช้ชิป QCC5125 สามารถรองรับ codec อย่าง LDAC และ aptX HD ซะด้วยซิ คุณภาพเสียงจัดว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมเลยซะด้วย ถ้าคิดว่านี้คือการเชื่อมต่อแบบไร้สายล่ะก็ DX7 PRO+ สอบผ่านแบบไร้ข้อกังขา เป็นฟังค์ชั่นที่ทำได้ดีทัดเทียมกับ D90SE เลยก็ว่าได้ครับ
- Remote
รีโมทที่แถมมาให้เป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้สำหรับ DX7 PRO+ เลยล่ะครับ นอกจากจะใช้งานสะดวก ไม่ต้องลุกจากโซฟามาจิ้มที่ด้านหน้าตัวเครื่องแล้ว การเข้าถึงฟังค์ชั่นอย่างโหมดเสียงต่างๆหรือสลับเอาท์พุตโหมดอย่างรวดเร็วจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไร้ซึ่งรีโมท
ถือว่าเป็นข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน เพราะถึงจะสะดวกปานใดแต่ถ้าทำรีโมทพังหรือเกิดถ่านหมดไปล่ะก็รับรองว่าปวดหมองแน่นอน
Sound Quality
จากที่ได้ลอง D90SE ที่เป็น DAC ตัวท็อปและสร้างความประทับใจระดับ 5 มาแล้ว ผมก็แอบลุ้นกับน้ำเสียงจาก DX7 PRO+ พอสมควรเลยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพอเป็นอุปกรณ์แบบ All in one แบบนี้เสียงที่ได้จะเป็นอย่างไร ยิ่งเป็นเรือธงในหมวด DAC-Amp ด้วยแล้วน่าสงสัยจริงๆว่า TOPPING จะทำได้ดีขนาดไหน
Sound Stage
ไม่ว่าจะใช้งานผ่านหูฟังหรือฟังผ่านลำโพง Bookshelf DX7 PRO+ ทำได้น่าประทับใจเลยทีเดียว ยิ่งถ้าเทียบกับ DAC-Amp ในพิกัดเดียวกันแล้วให้มิติเสียงในระดับดีมากครับ การจัดตำแหน่งเวทีเสียงค่อนข้างเป็นธรรมชาติครับ คือไม่ไปเปลี่ยนแปลงคาแรคเตอร์ของมิติเดิมเท่าไหร่ ด้วยประสิทธิภาพของ Noise Floor ที่ต่ำอยู่แล้วทำให้รายละเอียดต่างๆชัดเจน บาลานซ์และความกว้างของสเตอริโออิมเมจซ้ายขวาจัดอยู่ในขั้นดีเยี่ยม
แต่ถ้าต้องไปเทียบกับพี่ใหญ่ที่เป็น DAC เฉพาะทางอย่าง D90 หรือแอมป์เพียวๆอย่าง A90 เจ้า DX7 PRO+ ก็ยังไม่ไปแตะถึงขั้นนั้นครับ เรียกว่าเกือบๆละอีกนิดนึง แต่ถ้าให้เทียบกับรุ่นเก่าหรือ All in one DAC-Amp รุ่นอื่นล่ะก็ DX7 PRO+ ค่อนข้างกินขาดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
Frequency Response
เช่นเดียวกันกับเรื่องเวทีเสียง DX7 PRO+ ถือว่าสุดในรุ่นของ DAC-Amp แล้ว สำหรับอุปกรณ์ชนิดตัวเดียวจบครบเครื่องแบบนี้ถ้าคุณยังไม่ชอบน้ำเสียงคงต้องควักกระเป๋าอีกอย่างน้อยๆครึ่งแสนแน่นนอน แต่สำหรับค่าตัวไม่ถึงสามหมื่นบาท DX7 PRO+ สามารถให้คาแรคเตอร์เสียงที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว
ลักษณะเสียงที่เป็นค่า Default ของตัวเครื่องจะให้ความเป็นธรรมชาติสูงมากครับ แทบไม่ปรุงแต่งหรือบิดเบือนเสียงต้นฉบับใดๆทั้งสิ้น มายังไงไปหยั่งงั้น รายละเอียดดี ไม่รู้สึกสะดุดหูใดๆทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นย่านสูง กลางหรือว่าต่ำ โดยเฉพาะเสียงกลางและเสียงแหลมค่อนข้างไพเราะ ไม่สีสากเสี้ยนให้รำคาญหูแม้แต่นิดเดียว
สำหรับใครที่ชอบเล่นกับคาแรคเตอร์เสียงนอกจากจะปรับฟิลเตอร์แล้ว ตัว Sound Mode ระหว่าง Transistor และ Valve ก็ส่งผลกับการฟังมากทีเดียว โดยเฉพาะ Valave ผมค่อนข้างชอบมาก ถ้าเราฟังเพลงที่ไม่ต้องการความรวดเร็วหรือเก็บ Transient ให้กระชับฉับไว โหมดนี้ฟังเพลินมากๆ ถือว่าการใช้ DSP จำลองเสียงของแอมป์หลอดทำได้ดีเกินตัว คือไม่ใช่แค่เอา EQ มาหลอกหูเรานะ แต่ระบบสามารถจำลองโทนเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ
Conclusion
ถ้าคุณขี้เกียจเล่นแร่แปรธาตุ ผสม DAC, ผสมแอมป์, ผสมลำโพง TOPPING DX70 PRO Plus เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมครับ ตัวเดียวจบรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ จะใช้หูฟังหรือฟังผ่านลำโพงก็ได้คุณภาพเสียงอยู่ในมาตราฐานระดับสูง
ยิ่งบวกกับมี Bluetooth ระดับ Hi-Res ด้วยทำให้เป็น DAC-Amp ที่ครบเครื่องมากๆ และโหมดเสียงที่ให้มาก็ใช้งานได้จริง มีข้อเดียวที่ผมจะหักคะแนนก็คือไม่รองรับ MQA เนี่ยแหละ นอกนั้น DX70 PRO+ ทำทุกอย่างได้คุ้มเกินค่าตัวเค้าแล้วล่ะครับ