รีวิว FitEar Silver หูฟัง UIEM รุ่นใหม่ฉลองครบรอบ 65 ปี
FitEar กลับมาอีกแล้วพร้อมกับ FitEar Silver หูฟังโมเดลล่าสุดที่ทำมาเพื่อฉลองครบรอบ 65 ปีของ Suyama Dental Laboratory ซึ่งเป็นต้นสังกัดผู้ผลิตหูฟังของ FitEar เค้านั่นเอง แน่นอนว่าจุดเด่นก็คือบอดี้ที่ทำจากเงินแท้ๆ เกรดเดียวกับที่ใช้ในงานทันตกรรมตามชื่อบริษัทเค้านั่นล่ะครับ แต่ว่าจะมีความพิเศษตรงไหนอีกเดี๋ยวเราไปดูพร้อมๆกันเลยครับ
FitEar “Silver” 65th anniversary model
PROS จุดเด่น | CONS จุดด้อย |
รายละเอียดดีงามและ High ที่พริ้วมากๆ | หูฟังค่อนข้างมีน้ำหนักและไม่ได้ใส่สบายสำหรับทุกคน |
เหมาะสำหรับงาน Audiophile เป็นพิเศษ | ให้เบสน้อยไปหน่อย |
บอดี้ที่สวยงามแรงแข็งแรงมากๆ | ราคาจัดว่าแรง |
Packaging and Accessories
แพคเกจภายนอกของ Silver ไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายครับ เป็นกล่องดำเรียบๆพร้อมโลโก้ของ FitEar เท่านั้นแต่ความเจ๋งจะอยู่ที่ฮารด์เคสภายในมากกว่า ใครที่เป็นแฟน FitEar จะรู้ว่าเจ้านี้เค้าให้ฮาร์ดเคสยี่ห้อ Pelican มาเลย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเคสชื่อดังระดับโลกเลย ใช้กันตั้งแต่ใส่อุปกรณ์ด้านงานโปรดัคชั่นจนถึงอุปกรณ์ทางการทหารเลยทีเดียว ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความทนทาน ทำตกทำหล่นรับรองว่าไม่สะเทือนถึงตัวหูฟังภายใน
นอกจากฮาร์ดเคสแล้วภายในก็จะมีจุกหูฟังจากค่าย AZLA มาให้ด้วย มีซอยย่อยครบทุกไซส์และให้มาถึงสองรุ่นด้วยกันได้แก่ XELASTEC และ SednaEarFit SE1000 เป็นจุกหูฟังเกรดไฮเอนด์เลยนะครับ เฉพาะจุกยางอย่างเดียวนี้ก็หลายพันเข้าไปแล้ว
หมดจากจุกยางแล้วก็จะเป็นตัวแปรงสำหรับทำความสะอาดหูฟังครับ
Build and Comfort
เรื่องของความสวยงามจัดว่าเท่เอาเรื่องครับ วัสดุหลักของ Shell จะเป็นเงินประกบเข้ากับพลาสติคซึ่งจะเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับคอนเน็คเตอร์สายสัญญาณ
ชื่อรุ่น Silver ก็น่าจะได้มาจากวัสดุที่เลือกใช้นี่ล่ะครับ และอีกส่วนนึงก็เป็นเพราะหูฟังรุ่นนี้ทำมาเพื่อฉลองครบรอบ 65 ปีของ Suyama Dental Laboratory ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาหูฟังของ FitEar โดยตรง ตามชื่อบริษัทที่เค้าทำผลิตภัณฑ์ด้านทันตกรรมด้วย ทำให้เค้าเลือกที่จะเอาเงินเกรดเดียวที่ใช้กับงานทันตกรรมมาใช้สร้างหูฟังรุ่นนี้ ซึ่งข้อดีของมันคือความทนทานถาวรตลอดอายุการใช้งาน ก็คิดดูซิครับวัสดุที่สามารถอยู่ในช่องปากเราได้ตลอดชีวิตถ้าเอามาทำหูฟังมันก็ต้องแข็งแรงสุดๆชนิดว่าหายห่วงแน่นอน
ดีไซน์ของ Silver จะเป็นลักษณะที่ FitEar เรียกว่า Oval Horn Stem ทางค่ายบอกว่าดีไซน์แบบนี้ช่วยทั้งในเรื่องการเก็บเสียงและส่งผลต่อความบาลานซ์ของโทนเสียงด้วย แต่โดยส่วนตัวแล้วลักษณะทางกายภาพของผมไม่เข้ากับหูฟังรุ่นนี้เอาซะเลย ตัวหูฟังค่อนข้างใหญ่กว่าช่องหูผมนิดหน่อย และด้วยวัสดุที่ทำจากเงินมันก็หนักกว่าพวกพลาสติคหรือว่าเรซิ่นทำให้เวลาใช้งานจะอึดอัดและก็ใส่ได้ไม่ค่อยนาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแล้วแต่คนด้วยครับ ข้อนี้ผมไม่สามารถฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นว่ามันไม่ดี แต่ต้องคอมเมนท์ไว้นิดนึงสำหรับคนที่ช่องหูเล็กอย่างผมจะได้พิจารณาก่อนซื้อ เพราะว่าอย่างหูฟัง UIEM ร่วมค่ายตระกูล TG ผมสามารถใส่ได้สบายกว่าเยอะ แน่นกระชับดีด้วย แต่พอเป็น Silver ที่ใช้ดีไซน์ต่างกันกลับไม่เข้ากับหูผมซักเท่าไหร่
Headphone Details
FitEar Silver ใช้ไดรเวอร์ที่เรียกว่าระบบ “1+1 approach” ประกอบด้วย Magnesium diaphragm balanced armature driver + tweeter unit ตัวไดรเวอร์หลักก็จะเป็นไดรเวอร์ BA จากค่าย Onkyo ทำหน้าที่ดูแลเสียงย่านความถี่หลักๆทั้งหมดที่เราได้ยิน แต่ก็จะเสริมทวีตเตอร์ไดรเวอร์เข้ามาอีกตัว ซึ่งสามารถเติมเต็มความถี่สูงให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น นอกจากนั้นทาง FitEar ยังบอกว่ามันช่วยเพิ่มมิติให้ดีขึ้นและทำให้การตอบสนองความถี่ทั้งหมดราบเรียบไม่มีสะดุด
ส่วนของสายสัญญาณก็จะเป็นรุ่น FitEar cable 007 ใช้หัวแจ็คขนาด 3.5mm stereo mini plug มาตราฐาน เกรดของสายตัวนี้เป็นระดับสายอัพเกรดที่ค่าตัวแรงเอาเรื่อง รับรองว่าใช้ได้ยาวๆไม่ต้องห่วงเรื่องอัพเกรดเพิ่มครับ
Sound Quality
Sound Stage
ลักษณะเวทีเสียงของ Silver จะกว้างและโปร่งครับ ใครชอบแนวเสียงที่ฟังสบายไม่อึดอัดก็น่าจะชอบคาแรคเตอร์ประมาณนี้แน่ๆครับ เวลาฟังจะได้ยินแต่ละเลเยอร์ของเสียงได้ชัดเจน เครื่องดนตรีต่างๆจะไม่มากระจุกตัวกันแน่น แต่จะแยกออกจากกันแบบหลวมๆเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่มากเกินไปครับ ยังถือว่าอยู่ใน Context เดียวกัน ไม่ได้กว้างจนโล่งไปหมด
แต่ถ้าใครชอบความแน่น น้ำหนักหรือมวลเสียงเยอะๆก็อาจจะไม่ชอบแนวของ Silver เท่าไหร่ครับ
Bass
เบสถือว่าให้มาแบบพอดีๆ แต่อย่างที่บอกถ้าคุณเป็นสายที่ชอบความแน่น ต้องการเบสที่น้ำหนักเยอะ แรงปะทะแข็งแรง ผมคิดว่า Silver ไม่ใช่ทางของคุณเท่าไหร่
ต้องบอกว่าเบสที่ให้มาก็ไม่ได้น้อยจนจ๋อยหรือแห้งไปหมดนะครับ ความชัดเจนนั้นดีมากๆ ให้อารมณ์เหมือนพวกหูฟังมอนิเตอร์ตระกูล DT770 ของ Beyerdynamic เลย คือเบสไม่ใหญ่โต ไม่กระแทกทั้นมากนัก แต่ฟังได้ยินตลอดและจับรายละเอียดต่างๆได้ดี ยกเว้นที่มวลหรือเนื้อเสียงของมันไม่เยอะเท่านั้นเอง
Mid
ชัดเจน คม สะอาดสะอ้าน เป็นคาแรคเตอร์ย่านเสียงกลางของ Silver เค้าเลย ชัดเจนเหมือนคุณดูทีวีแบบ 4K ทุกเสียงจะดู High Definition ไปหมด ไม่ต้องห่วงว่ามันจะคมชัดจนแทงหูน่ารำคาญ ส่วนตัวผมว่าเค้าจูนมากำลังดี แต่ถ้าจะให้ตำหนิเล็กน้อยก็คือเพราะ Low และ Mid-Low มันไม่ค่อยแน่น เสียงที่ได้จึงขาดบอดี้ ขาดน้ำหนักไปบ้าง
แต่อย่างที่บอกว่ามันแล้วแต่ความชอบ ส่วนตัวผมชอบหูฟังที่ต้องติดความอุ่น ความหนาของโทนเสียงมาบ้าง พอมาลอง Silver จึงรู้สึกติดเล็กน้อย ส่วนใครที่ชอบย่านกลางคมๆ สะอาดๆ Silver ก็เหมาะกับคุณแน่นอน
High
นี่คือจุดเด่น คือไฮไลท์ที่ Silver ทำได้ดีมากๆ ก็คงเป็นผลพวงมาจากทวีตเตอร์ยูนิทที่ติดตั้งเพิ่มด้วย ทำให้เสียงแหลมไปได้ไกลสุดๆ ย่านความถี่สูงของ Silver นั้นไพเราะเพราะพริ้งและพริ้วไหวเอามากๆ ใครชอบบริโภคเสียงแหลมรับรองว่ารัก Silver สุดหัวใจ
แถมซาวด์ที่ได้ยังไม่สากหรือแหลมจนน่ารำคาญ อยู่ในจุดที่พอดีมากๆ คือถ้าคมกว่านี้อีกหน่อยก็จะไม่น่าฟังแล้ว เสียงแหลมแบบนี้ถ้าใครชอบฟังงานเพลงแบบอะคูสติค หรือไม่ก็ Folk, Jazz ไปจนถึงงาน Audiophile ทั้งหลายเป็นปลื้มกับ FitEar Silver แน่ๆ
Conclusion
ถ้าว่ากันเรื่องเสียงผมคิดว่า FitEar Silver อยู่ในจำพวกของหูฟังที่เหมาะกับงาน Audiophile Hi-Res ทั้งหลาย แต่สำหรับคนที่ชอบความหนักแน่น ฟังเพลงร็อค ฟังเพลงเมนสตรีมที่ต้องการความอิ่มของเบสอาจจะไม่ใช่ทางซักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่ามันฟังไม่ได้แค่ฟังไม่มันส์เท่านั้นเอง
ส่วนองค์ประกอบอื่นๆของหูฟังถือว่าสุดในรุ่น ตามสเปคก็จัดอยู่ในหมวดเรือธงตัวใหม่ของ Universal IEM ประจำค่าย FitEar ถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของค่ายและอยากได้ของที่ระลึกครบรอบ 65 ปีจากบริษัทผู้ผลิตล่ะก็ FitEar Silver ก็มีคุณค่ามากพอให้คุณหาไว้ประจำการในคลังแสงเพิ่มอีกตัวครับ